Wednesday, June 27, 2012

แอโรบิค เสริมภูมิคุ้มกัน


การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ (ซึ่งไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย)  คือ การเดินอย่างเร็ว  ส่วนผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องปวดเข่า  อาจเลือกใช้วิธีว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายในน้ำ ซึ่งจะช่วยพยุงน้ำหนักตัวไว้ส่วนหนึ่ง     การออกกำลังกายวิธีนี้ จะได้ผลดีต่อหัวใจและหลอดเลือด ก็ต่อเมื่อได้ออกกำลังแบบต่อเนื่องและสม่ำเสมอ  เช่น ออกกำลังกายครั้งละ 20-30 นาที  ประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ (เช่น ออกกำลังวันเว้นวัน)

สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ควรเริ่มต้นช้าๆก่อน เช่น เริ่มออกกำลังกายจนหัวใจหรือชีพจรเต้นเร็วประมาณร้อยละ 70-80 ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งคำนวณได้โดยใช้สูตรอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ = 220- อายุ)  ตัวอย่างเช่น  สมมติว่าผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปี อัตราเต้นสูงสุดของหัวใจจะเท่ากับ 220-60 คือ 160 ครั้งต่อนาที และการออกกำลังกายจนชีพจรเต้น ประมาณร้อยละ 70-80 ของ 160 ครั้งต่อนาที นั่นคือ 112-128 ครั้งต่อนาที



อย่าลืมว่า ก่อนออกกำลังกายแบบแอโรบิคทุกครั้ง ต้องยืดเส้นยืดสาย  และเริ่มออกกำลังเบาๆก่อน เป็นการอุ่นเครื่อง และหลังออกกำลังกายได้ตามที่ต้องการแล้วอย่าเพิ่งหยุดทันที แต่ควรค่อยๆผ่อนลงช้าๆ เพื่อมิให้เกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อ

การออกกำลังกายนั้น ทำได้ทุกเวลาที่สะดวก แต่เวลาที่เหมาะสมสำหรับ การออกกำลังกายกลางแจ้ง  น่าจะเป็นตอนเช้าๆ หรือเย็นๆ ซึ่งอากาศไม่ร้อนจนเกินไป  และควรเป็นเวลาเดียวกันทุกครั้ง เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้เหมาะสม  อีกประการหนึ่งคือ ไม่ควรออกกำลังกายเมื่อกินอาหารอิ่มใหม่ๆ เพราะจะทำให้จุกแน่นท้องได้ง่าย

การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมสำคัญ ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ให้แข็งแรง ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ และเสริมสร้างจิตใจให้แจ่มใสอีกด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก www.si.mahidol.ac.th โดย ผศ.นพ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐ์สุวรรณ

Tuesday, June 26, 2012

26 มิถุนายน วันสุนทรภู่


ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม  หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" 





ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่ ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ "วรรคทอง" ยกตัวอย่างเช่น


จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก     
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
ครั้นรักจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

หยิบยกตัวอย่าง มาแต่กลอนความรัก เพราะอยากบอกว่า

"เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แล้วอย่าลืม!! เสริมภูมิคุ้มกันหัวใจ ให้แข็งแรงด้วยนะคะ"

ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ไว้ที่ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง 



ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com

Monday, June 25, 2012

พบผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 ที่โคราช


ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์ "พบผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 ที่โคราชแล้ว 28 ราย"


"เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2555 นพ.วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์ ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงข่าวไข้หวัดใหญ่ 2009 ว่า ตามที่ทางกระทรวงสาธารณสุขให้ดำเนินการตรวจเช็กเอกซเรย์พื้นที่หาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ทุกจังหวัดในช่วงฤดูฝน โดยทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา ได้เอกซเรย์ พบผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 จำนวน 28 ราย อยู่ใน รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เท่านั้น มี 28 ราย โดยไม่มีอาการความรุนแรงของโรคแต่อย่างใด เป็นเพียง ไข้หวัดใหญ่ มีแต่ไข้ และไข้ไม่ได้ขึ้นสูง โดยทั้ง 28 รายนี้ป่วยมาได้ประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว อยู่ระหว่างการดูแลรักษาอาการ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนของโรค โดยแยกเป็นเจ้าหน้าที่ของ รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ 2 ราย, ลูกของเจ้าหน้าที่ 2 ราย และผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล จำนวน 24 ราย ซึ่งได้สั่งการให้ทาง รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ควบคุมผู้ป่วยทั้งหมด เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อต่อแล้ว สำหรับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งลูกของเจ้าหน้าที่จำนวน 4 รายนั้น ทางเราอนุญาตให้รักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ เนื่องจากอาการทุเลา ส่วนผู้ป่วย 24 ราย ทางโรงพยาบาลได้แยกออกจากผู้ป่วยทั่วไป และกักบริเวณไว้ภายในโรงพยาบาล 3 จุด เพื่อควบคุมไม่ให้ออกไปแพร่เชื้อได้


นพ.วรัญญู กล่าวอีกว่า อาการของผู้ป่วยทั้ง 28 ราย ไม่รุนแรงมากนัก ขอย้ำว่าไม่มีความรุนแรง ไม่มีการระบาด มีเพียงอาการไข้ขึ้นสูง และโรคประจำตัวเล็กน้อย ไม่มีอาการหายใจลำบาก หรืออาการปอดบวม จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก และคาดว่าจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ในอีกไม่นาน ทั้งนี้ ฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่าไม่ต้องตื่นตกใจ หรือแตกตื่นอะไร เพราะเป็นเพียงคลื่นเล็กๆ เท่านั้นที่รอการสงบของโรคนี้


ไข้หวัด 2009 หรือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่   ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงเราดูแลร่างกายให้แข็งแรง เสริมภูมิคุ้มกันให้สมดุล ไม่ควรปล่อยให้ป่วยก่อน แล้วค่อยรักษา เพราะหากร่างกายอ่อนแอ มีภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ จะทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย และหายป่วยได้ยากอีกด้วย "ป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ เดี๋ยวป่วยแย่ แล้วจะแก้ไม่ทัน"  

งานวิจัยเสริมภูมิคุ้มกัน Operation BIM











ขอบคุณ ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์

Saturday, June 23, 2012

สิวอักเสบ สลายง่ายๆ ด้วยภูมิคุ้มกัน

สิวอักเสบ เม็ดเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ ทำอย่างไรก็รักษาไม่หายขาด อยากใช้เครื่องสำอางค์ ให้ผิวสวย หน้าขาวใส กลับยิ่งกระตุ้นให้สิวเห่อ พอบีบสิวตรงนี้ ก็ไปเกิดสิวอักเสบเพิ่มตรงนั้น สร้างความกลุ้มใจให้หนุ่มสาวทุกยุคสมัย

ระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการเจ็บป่วย รวมถึงลดการอักเสบของร่างกายได้ จึงไม่ใช่เรื่องยาก ที่ภูมิคุ้มกันจะช่วยสลายสิวอักเสบ ให้มลายหายไปจากหน้าสวยของเรา ดังนั้นการดูแลร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง


จากการวิจัย ของคณะวิจัยสหวิชาการจาก ม. สงขลานครินทร์ ม.เชียงใหม่ ม.มหิดล และบริษัท เฮงเคล เยอรมนี จำกัด ( Henkel KGa ) บริษัทจำหน่ายวัตถุดิบเครื่องสำอางระดับโลก นำโดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา พบว่า เปลือกมังคุด ประกอบด้วย สารธรรมชาติ GM-1 และสารอื่น จำนวนมากรวมทั้งแทนนินที่อาจทำให้ผิวคล้ำเมื่อสัมผัสต่อเนื่อง แต่เมื่อสกัดสารแทนนินนี้ทิ้ง นำส่วนที่เหลือมาแยกต่อ ทำให้บริสุทธิ์ นำไปทดสอบประสิทธิภาพปรากฎว่า หนึ่งในสารบริสุทธิ์ที่แยกได้คือ GM-1 มี คุณสมบัติเด่น 4 ประการคือ

1. ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย ( Antibacterial ) ได้ดีเท่ากับยาปฏิชีวนะราคาแพง
2. ต้านการอักเสบ ( Anti-inflammatory ) ได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน
3. ต้านอนุมูลอิสระ ระงับการทำลายเซลล์ทำให้ผิวดูไม่แก่ก่อนวัย ( Anti-oxidant ) และสามารถ
4. สมานผิว กระชับรูขุมขน ( Astringent ) ได้ดี

หลังจากที่ได้มีการทดสอบจนกระทั่งแน่ใจว่า GM-1 มีความปลอดภัยที่จะใช้ต่อได้ ในระยะยาว จึงนำ GM-1 มาผสมในเครื่องสำอาง แล้วทดสอบกับอาสาสมัครที่สภาพผิวมีปัญหาเรื้อรัง ทั้งในประเทศไทยและเยอรมันอาทิ สิวอักเสบและผิวหยาบกร้านพบว่า สภาพผิวดีขึ้นตามลำดับ เมื่อใช้เจลและสบู่ล้างหน้า และกว่า 85% มีสภาพผิวดีขึ้นมาก เมื่อใช้เจลบำรุงผิวร่วมด้วย ผลการวิจัยนี้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทย ที่ช่วยแก้ปัญหาของผู้มีปัญหาของผิวหน้าจากสิวและความหยาบกร้านทั้งชาวไทยและต่างชาติ


เอกสารอ้างอิง ( 1 ) J.Nat.Pod., 50, pp474-8, 1987. ( 2 ) J.Sci.Soc.Thailand, 12, pp239-42, 1986 ( 3 ) M.Sc.( Pharmacology ) Thesis, ( Achara Chaikeo ), Chiang Mai Univ., 1988 ( 4 ) Free Rad. Res., 23, 174-84, 1995 ( 5 ) M. Sc. ( Nursing ) Thesis, (Watanee Panchinda), Mahidol Univ., 1992

ขอบคุณข้อมูล ผลงานวิจัย Operation BIM 

6 วิธี เสริมภูมิต้านทานโรค


1. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กด ภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด

2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผลลดการ สร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน ต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%
 
3. ดื่มน้ำเปล่า อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว น้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย



4. ออกกำลังกาย อย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดทำให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี และเม็ดเลือดขาว เดินทางไปทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ได้เร็วขึ้น


5. รับประทานอาหาร ให้ครบถ้วนเพียงพอตามหลักโภชนาการ

โดยเฉพาะอาหารเสริมภูมิต้านทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุ บางชนิด ได้แก่ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งมีผลเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอันเป็นตัวการก่อมะเร็งได้อีกด้วย


6. หลีกเลี่ยงอาหารหรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ ภูมิต้านทาน อ่อนแอลง เช่น เลี่ยงการกินอาหารหวานจัด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป

ช่วยกันดูแลสุขภาพตัวเอง และคนที่คุณรัก เริ่มต้นได้ง่ายๆ ที่นี่...

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

Friday, June 22, 2012

ทำไมต้องเสริม "ภูมิคุ้มกัน"


ในทุกวัน ร่างกายของมนุษย์ได้รับจุลินทรีย์ต่างๆ เข้าสู่ร่างกายมากมาย ทั้งที่ทำให้เกิดโรค และไม่ทำให้เกิดโรค โดยติดมากับอาหารที่เราทานเข้าไป หรือปะปนมากับฝุ่นละอองและอากาศที่เราหายใจเข้าไป แต่เรายังมีสุขภาพเป็นปกติอยู่ได้ เพราะร่างกายเรามีกลไกที่จะป้องกันตัวเอง และทำลายเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้น เรียกว่า เรามีภูมิคุ้มกัน 

ในสมัยโบราณ ได้มีผู้สังเกตุว่า ถ้าคนใดเป็นโรคแล้วหายจากโรคนั้น จะไม่เป็นโรคนั้นซ้ำอีก ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็คือร่างกายเราสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาปกป้องเรา ไม่ให้เป็นโรคติดเชื้อเดิมๆ แต่ยังคงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอื่นๆได้ ทำให้ทราบว่า ภูมิคุ้มกัน มีความจำเพาะต่อโรค และจะสร้างขึ้นได้ จะต้องเป็นโรคนั้นมาก่อน ซึ่งเรียกว่า การเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน

ประโยชน์ของระบบภูมิคุ้มกัน คือป้องกันและต่อสู้ทำลายเชื้อโรค ถ้าระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น ทำงานไม่ได้ หรือทำงานบกพร่อง เราก็จะติดเชื้อง่าย และตายได้จากการติดเชื้อ แม้จะเป็นชนิดที่ไม่ทำให้เกิดโรค เช่น ในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้เกิดโรคหอบหืด, โรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ หรือเกิดโรคภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเองได้


ระบบภูมิคุ้มกัน สามารถเสริม หรือสร้างได้ เช่น โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ หรือโดยการถ่ายทอดจากแม่ไปยังลูกโดยทางรก หรือทางน้ำนม เด็กที่กินนมแม่ก็จะมีสุขภาพดี ไม่ติดเชื้อง่าย ซึ่งประโยชน์ของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่เห็นได้ชัดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ให้กับเด็กตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้โรคบางชนิดหมดไปจากโลก เช่น ฝีดาษ และโรคโปลิโอ เป็นต้น

เนื่องจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การทานอาหารที่มีสารตกค้าง ความเครียดจากการทำงาน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนในยุคนี้ผิดปกติ ไม่สมดุลย์ ทำให้เกิดโรคใหม่ที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือเกิดโรคที่รักษาไม่หายขาดเช่น โรคสะเก็ดเงิน ข้อเข่าเสื่อม รูมาตอยด์ เบาหวาน ภูมิแพ้ กระเพาะอักเสบ ป่วยเรื้อรัง  เป็นต้น




การเสริมภูมิคุ้มกัน เปรียบเหมือนเรามีเหล่านักสู้ Avengers มาช่วยต่อสู้ศัตรูร้าย ที่บุกรุกเข้าสู้ร่างกายของเราได้ตลอดเวลา แต่ปัจจุบัน เชื้อโรคพัฒนาตัวเอง เกิดเป็นไข้หวัด 2009   จนถึง ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2012   และโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุอีกมากมาย ดังนั้นเราต้องรีบดูแลสุขภาพด้วยตัวเองก่อน เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ปลอดสารพิษ หมั่นออกกำลังกาย เสริมภูมิคุ้มกันให้สมดุล ก่อนที่ Avengers จะมาช่วยเราไม่ทัน


ขอบคุณข้อมูลจาก ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

งานวิจัยเสริมภูมิคุ้มกันให้สมดุล Operation Bim